หากรถคันโปรดมีอาการใดก็แล้วแต่ สิ่งแรกที่ควรทำในทุกกรณีก็คือ ชิดซ้ายเข้าข้างทางที่มีความปลอดภัยครับ กรณีนี้หากสังเกตุเห็นเข็มความร้อนขึ้นสูง ก็เข้าข้างทางทันทีเช่นเดียวกันครับ เมื่อได้ที่จอดที่ปลอดภัยแล้วค่อยมาเริ่มลงมือกัน.. 1. ดับเครื่องยนต์โดยเร็ว เพื่อให้ระบบได้พักการทำงาน จากนั้นรีบเปิดฝากระโปรงรถเพื่อช่วยระบายความร้อน แน่นอนว่าหากคันไหนอุณหภูมิสูงมากๆ ควันมันจะลอยโขมงเลยครับ 2. ห้ามใช้น้ำราดบริเวณเครื่องยนต์เพื่อช่วยดับร้อนเด็ดขาด เพราะเหล็กที่ร้อนมากๆหากเจอน้ำเย็นไปล่ะก็ หดตัวจนแตกมานักต่อนักแล้วนะครับ หากมีไอน้ำพุ่งออกมา หรือไม่พุ่งก็ตาม อย่าเพิ่งเปิดฝาหม้อน้ำโดยทันที เพราะแรงดันจากความร้อนที่สูงจะพุ่งมาลวกเพื่อนๆทันทีเลยครับ ให้รอประมาน 15 – 20 นาทีครับ 3. หลังจาก 15 – 20 นาที เครื่องยนต์คลายความร้อนเป็นที่เรียบร้อย จึงค่อยๆเปิดฝาหม้อน้ำออกทีละนิด เพื่อให้มันค่อยๆคลายความดันออกมา ในการเปิดควรหาผ้าหนาๆมารองไว้ หากไม่มีผ้ายางในรถก็ใช้ได้ครับ 4. ทำการตรวจสอบหม้อน้ำทันที หากพบว่าน้ำในหม้อน้ำเหลือปริมาณน้อย ก็ค่อยเติมลงไป หลังจากที่เครื่องยนต์ดับครั้งแรก 30 นาทีนะครับ เพราะหากเติมเลยโลหะจะหดตัวอย่างที่บอกในข้างต้น การเติมน้ำควรเติมแค่ครั้งละ ครึ่งลิตรเท่านั้น และเว้นห่างกันประมาณ 3 นาทีในแต่ละครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ฝาสูบแตกหรือโก่ง 5.
เครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติด ทำยังไงดี พี่ควายทองมี 7 ขั้นตอนในการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเบื้องต้น 1. ตรวจดูระดับน้ำมันเชื้อเพลิง 2. ตรวจดูระดับน้ำมันเครื่องยนต์ 3. ดึงปลั๊กหัวเทียนออก 4. ถอดหัวเทียนออก 5. นำหัวเทียนเสีบเข้ากับปั๊กหัวเทียนแนบกับเครื่องยนต์ 6. เปิดสวิทซ์เครื่องยนต์ 7. ดึงเชือกสตาร์ท์เพื่อดูประกายไฟที่หัวเทียน ถ้าประการไฟเป็นสีม่วงหรือ สีน้ำเงิน ถือว่าหัวเทียนยังใช้งานได้ แต่หากประกายไฟเป็นสีแดง แสดงว่าหัวเทียนใช้งงานไม่ได้แล้ว
เจ้าของรถบางท่านที่มีรถยนต์หลายคน บ้างก็ไม่มีเวลานำรถคันโปรดออกไปขับใช้งานปกติ จึงมีวิธีการรักษากระแสไฟฟ้าในแบตเตอรีด้วยการสตาร์ทเครื่องทิ้งไว้ ว่าแต่ทำถูกแล้วหรือ? ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มีกำลังเงินในการซื้อรถกันมากขึ้น บางบ้านก็มีรถหลายคันแต่สุดท้ายก็ใช้คันเดิมๆ วิ่งเป็นประจำ หรือไม่คนที่อาศัยอยู่ในคอนโดที่ติดรถไฟฟ้า รถของพวกเขามักต้องจอดแน่นิ่งไม่ได้ใช้งานเท่าไหร่ เหล่านี้ทั้งหมดทำให้แบตเตอรีไม่สามารถกักเก็บไฟได้เต็มที่ เมื่อใดที่จะนำรถออกไปขับหลายคนมักเจออาการสตาร์ทไม่ติด เพื่อเป็นการป้องกันปัญหา แบตเตอรี หมดคารถ เจ้าของรถหลายท่านจึงมีกลวิธีในการรักษาสภาพแบตฯ ด้วยการสตาร์ทเครื่องยนต์ให้อยู่ในรอบเดินเบาทิ้งไว้สัปดาห์ละประมาณหนึ่งครั้ง โดยปกติแล้วความดัน ไฟฟ้า ของแบตฯ ในรถยนต์ปกติวควรอยู่ที่ 12.
>> อาการบอกสัญญาณอันตราย เมื่อเกียร์มีปัญหา >> อาการผิดปกติ เบรกมีปัญหา!
สุดท้ายเมื่อเติมน้ำจนใกล้เต็มแล้วลองติดเครื่องดู เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำ จากนั้นเติมต่อจนเต็ม และตรวจสอบรอยรั่ว หากไม่พบแล้วอุณหภูมิอยู่ในระดับปกติก็เดินทางต่อได้เลยครับ แต่ถ้ารั่วหรือพัดลมขัดข้อง หรือมีปัญหาอื่นๆในระบบ คราวนี้จะยากแล้วครับควรตามช่างผู้ชำนาญมาทำให้จะเหมาะสมกว่า. ขอบคุณ
กระแสไฟฟ้าส่วนที่เหลือก็จะถูกส่งไปเก็บในแบตฯ จนเต็มประสิทธิภาพ ไม่ต้องพูดอะไรให้มากคุณลองสังเกตุรถที่ใช้งานเป็นประจำทุกวัน วิ่งเป็นระยะทางเกินกว่า 15 กม. หรือใช้งานเกิน 1 ชั่วโมง ยิ่งรถที่วิ่งทางไกลบ่อยครั้ง ตัวอย่างที่กล่าวมาทั้งหมดจะมีอายุการใช้งานของแบตเตอรีที่นานกว่ารถที่จอดบ่อย หรือไม่ค่อยได้ออกมาวิ่ง สาเหตุมาจากรถที่ใช้งานเป็นประจำจะมีการชาร์ทไฟเข้าเก็บในแบตฯ อยู่ตลอดเวลานั่นเอง ถ้าอยากไม่ให้แบตฯ เสื่อม แต่ไม่มีเวลานำรถออกไปขับต้องทำอย่างไร?