title แพ้ยา หรือ แค่ผลข้างเคียง ด้วยความรู้และข้อมูลที่เข้าถึงง่ายในปัจจุบัน ทำให้ผู้บริโภคหันมาดูแลตัวเองกันได้ง่ายขึ้น รวมไปถึง เมื่อเวลาที่เจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ บางคนที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วในการรักษาตัว ก็ไปซื้อยามาทานเอง โดยพิจารณาอาการที่พบด้วยข้อมูลที่ตนเองหาได้ แต่ร่างกายของคนเราซับซ้อนกว่านั้น ฤทธิ์ของยาบางชนิดไวต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายต่อต้านฤทธิ์ยาเพราะคิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ควรกำจัดออก โดยแสดงออกมาทางร่างกาย เช่น อ่อนเพลีย มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ผื่นขึ้น ลมพิษ หายใจไม่ออก มีอาการบวมตามอวัยวะต่างๆ บางรายอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ แล้วมันต่างจากผลข้างเคียงของยาตรงไหน? ผลข้างเคียงของยานั้น เกิดจากฤทธิ์ของยาที่มีผลต่อคนส่วนมากซึ่ง ไม่อันตรายถึงชีวิต และยังสามารถใช้ยาต่อ ได้จนหาย โดยทางเภสัชจะแนะนำการใช้ยาที่ถูกต้องและลดผลข้างเคียงของยาได้ เช่น ยาแก้ปวดที่กัดกระเพาะ ทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน แสบท้อง แพทย์จะนำให้ทานยาหลังอาหารทันที หรือทานยาลดกรดในกระเพาะอาหารควบคู่ไปด้วย หรือยาแก้แพ้บางชนิด มีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึม เป็นต้น แต่การแพ้ยานั้น จะเกิดเฉพาะบางคนเท่านั้น และบางรายอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในครั้งแรกที่ทานยา ฤทธิ์ของตัวยานั้นต้องใช้เวลาในการทำ ปฏิกิริยากับร่างกาย ช้า เร็ว ขึ้นอยู่ขึ้นกับแต่ละคน ไม่เหมือนกัน มีอาการแล้วทำอย่างไรดี?
ห้ามปรับขนาดการรับประทานยานี้เพิ่มด้วยตนเอง และห้ามรับประทานยานี้เกินวันละ 6 ซอง (30 กรัม) 6. ห้ามรับประทานยาอีโนติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 2 สัปดาห์ นอกจากแพทย์สั่ง ผู้ป่วยควรใช้ยานี้ตามคำแนะนำของแพทย์ และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ยาอีโนได้จากเภสัชกรตามร้านขายยาใกล้บ้านได้ทั่วไป 7. ห้ามแบ่งยานี้ให้ผู้อื่นใช้และห้ามใช้ยาที่หมดอายุหรือเสื่อมสภาพแล้ว เช่น ยาผงที่อยู่ในสภาพชื้น มีกลิ่นเหม็น หรือลักษณะของผงยามีสีเปลี่ยนไปจากเดิม 8. การใช้ยาอีโนในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น 9. ยาอีโนสามารถรับประทานตอนไหนก็ได้ที่มีอาการ และอาหารไม่ได้มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา นิยมรับประทานหลังอาหารเมื่อมีอาการทันที 10. หลีกเลี่ยงการรับประทานยาอีโนพร้อมกับยาอื่นๆ ยาอีโนมีฤทธิ์เป็นด่าง จึงทำให้สภาพความเป็นกรดในกระเพาะอาหารเปลี่ยนไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการดูดซึมของยาชนิดอื่ๆ ที่รับประทานพร้อมกัน โดยควรรับประทานยาอีโนให้ห่างกับยาอื่นอย่างน้อย 2 ชั่วโมงขึ้นไป 11. หากใช้ยาไปแล้วเป็นเวลา 2-3 วัน อาการยังไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล 12. ควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นหลังการรับประทานยาอีโน หรือหากมีอาการแพ้ยา เช่น ตัวบวม หายใจลำบาก หายใจไม่ออก อึดอัด ต้องหยุดการใช้ยานี้ทันทีแล้วรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล 13.
หากทานยาแล้วสังเกตได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายให้หยุดใช้ยาที่สงสัยตัวดังกล่าว ถ่ายภาพอาการที่เกิดขึ้นตามร่างกายเช่น ผื่น หรืออาการบวมตามร่างกายต่างๆ และรีบมาพบแพทย์ โดยอย่าลืมนำตัวยาต้องสงสัยดังกล่าว เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอาการแพ้ หากแพทย์ทราบถึงตัวยาที่เราแพ้แล้วนั้น เราจะได้บัตรแพ้ยา เพื่อในครั้งต่อไป เมื่อเราต้องรับยาเพื่อมารักษาโรคและอาการ เภสัชจะระวังในการจ่ายยา หลีกเลี่ยงที่เราแพ้ และใช้ในตัวอื่นแทน ขอบคุณบทความดี ๆ จาก นพ. วีระยุทธ บุญเกียรติเจริญ ปรึกษาปัญหาสุขภาพ โรงพยาบาลเปาโล รังสิต โทร 0-2577-8111
ท่านสามารถที่จะทักมาสอบถามหรือปรึกษาอาการได้ที่ไลน์แอดที่ท่านเห็นอยู่ได้เลยนะครับ ขอบคุณครับ เมนูนำทาง เรื่อง
อ่าน 44, 591 อีโน คือยาสามัญประจำบ้าน ที่ใช้เป็นยาลดกรด บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ลดอาการแสบร้อนกลางอก เนื่องจากมีกรดในกระเพาะอาหาร และในการทานยาอีโน ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังเช่นกัน วันนี้ gangbeauty จึงมาแนะนำวิธีใช้ที่เหมาะสมมาให้อ่านกันค่ะ!! 1. ห้ามใช้กับผู้ที่เคยมีประวัติการแพ้ยานี้ 2. ห้ามใช้ยาอีโนในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคไต หรือโรคตับ ยาอีโนเป็นยาประเภทเกลือโซเดียมซึ่งปกติแล้วจะถูกขับออกจากร่างกายทางไต จึงมีข้อห้ามใช้กับผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตผิดปกติและรวมไปถึงผู้ป่วยโรคตับด้วย ส่วนผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงนั้นจะต้องจำกัดการรับประทานเกลือโซเดียมอยู่แล้วเพื่อช่วยในการควบคุมความดันโลหิต 3. ห้ามใช้ยาอีโนกับผู้ป่วยที่แพทย์สั่งให้จำกัดการรับประทานอาหารรสเค็มหรืออาหารที่มีเกลือโซเดียมเป็นส่วนประกอบ 4. ไม่ควรรับประทานยาอีโนชนิดผงโดยไม่ได้ละลายน้ำก่อน เพราะนอกจากจะทำให้การออกฤทธิ์ได้ไม่ดีแล้วยังก่อให้เกิดผลต่อร่างกายได้ด้วย เนื่องจากผงยาจะดึงเอาน้ำในกระเพาะอาหารและลำไส้มาช่วยละลายตัวยา จึงเกิดการปล่อยแก๊สในกระเพาะอาหารเพิ่มมากขึ้นอย่างผิดปกติ ส่งผลทำให้เกิดแรงดันจนรู้สึกปวดจุกเสียดขึ้นทันที 5.
หลีกเลี่ยงการทานอาหารปริมาณมากๆ อาจเปลี่ยนเป็นทานน้อยๆ แต่ถี่ขึ้น 4. ไม่ควรนอนทันทีหลังทานอาหาร 3 ชั่วโมง 5. นอนหัวสูงอย่างน้อย 6 นิ้ว 6. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ 7. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การทานโปรไบโอติกกับโรคกรดไหลย้อน โปรไบโอติกช่วยให้อาหารย่อยผ่านกระเพาะได้ดีและเร็วขึ้น ลดการเกิดกรดไหลย้อนได้ โปรไบโอติกช่วยลดการเติบโตของเชื้อ Pyroli ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดแผลและการอักเสบในกระเพาะ มีงานวิจัยผู้ป่วยกรดไหลย้อนที่ได้รับยา proton pump inhibitor (ยาลดการสร้างกรดในกระเพาะ) เป็นเวลานาน พบว่าจะเกิดความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ และเกิดการท้องเสียตามมาได้ การให้โปรไบโอติกเสริม ทำให้จุลินทรีย์ในลำไส้สมดุลมากขึ้น ลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ You Might Also Like
เป็นอีกหนึ่งบทบาทของโปรไบโอติกที่มีต่อการรักษาโรคกรดไหลย้อน สำหรับผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อนมักจะทราบกันดีว่าต้องใช้ยากลุ่มลดกรดในกระเพาะอาหารเพื่อบรรเทาอาการแสบร้อน เรอเปรี้ยว ในบทความนี้เราจะมาลงรายละเอียดของโรคกรดไหลย้อนและบทบาทของโปรไบโอติกที่มีต่อโรคนี้กันค่ะ สำหรับผู้อ่านที่ยังไม่ทราบว่าโปรไบโอติกคืออะไร แนะนำให้เข้าไปอ่านในบทความนี้ก่อนนะคะ >>> โปรไบโอติก คือ อะไร แชร์บทความ แชร์บทความ โรคกรดไหลย้อนคืออะไร?