ต่อชั่วโมงพอดี ความเร็วจริงของรถอาจจะแค่ 94 ถึง 95 เท่านั้น นี่คือมุมมองในฝ่ายผู้ขับนะครับ มามองกันจากมุมของผู้รักษากฎหมายจราจรบ้าง ก่อนอื่นเลย การกำหนดโทษและเงื่อนไขในการลงโทษนั้น เจตนาหลักคือการป้องปราม ให้ผู้ใช้รถยำเกรงต่อโทษและไม่ฝ่าฝืน ไม่ใช่การฉวยโอกาสหารายได้(ส่วนแบ่งจากค่าปรับ)จากความผิดพลาดหรือพลั้งเผลอของประชาชนผู้ใช้รถ ตามมาตรฐานสากลที่นิยมใช้กันทั่วโลกนั้น จะผ่อนปรนค่านี้ให้เกินได้ไม่น้อยกว่า 10 กม. หมายความว่าบนถนนที่จำกัดความเร็วสูงสุดตามกฎหมายไว้ที่ 90 กม. รถที่ใช้ความเร็วเกิน 100 กม. จึง สมควรถือว่าละเมิดกฎหมาย แต่ในเมื่อไม่มีเครื่องมือวัดใดในโลกนี้ที่ปราศจากความคลาดเคลื่อนหรือความผิดพลาด ฝ่ายผู้รักษากฎหมายจะต้องคำนึงถึงปัญหานี้โดยไม่มีข้อยกเว้น และความผิดพลาดนี้มีโอกาสสูง ที่จะเกินร้อยละ 5 ครับ หมายความว่าผู้รักษากฎหมายไม่สมควรมีสิทธิอ้างว่า ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนได้ละเมิดกฎหมาย ด้วยการใช้ความเร็วเกินกว่า 105 กม. บทสรุปก็คือ ผู้ใช้รถอย่างพวกเราย่อมมีสิทธิโดยชอบธรรม ในการใช้ความเร็วตามมาตรวัดของรถที่ขับอยู่ ได้เกินกว่าค่าที่กฎหมายกำหนดได้ แต่ต้องไม่มากกว่า 15 กม. โดยประมาณ และฝ่ายผู้รักษากฎหมายจะต้องตั้งเกณฑ์ความเร็วและตั้งเครื่องมือวัด ที่ถือว่าเข้าขั้นละเมิดกฎหมาย ไว้สูงกว่าค่าที่ห้าม ไม่น้อยกว่า 20 กม.
/ชม. ส่วนเลนขวาห้ามต่ำกว่า 100 กม. อัตราค่าปรับจราจรใหม่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการกำหนดอัตราค่าปรับตามความผิดตามพรบ.
ซึ่งก็คือ 110 กม.
โดยเลือกใช้ความเร็ว 70 กม. ตามมาตรวัดของรถ เอาเป็นว่าเลือกใช้ลู่กลาง ยังไม่เลวถึงขั้นมาขวางทางอยู่ในลู่ขวาสุดครับ ส่วนนาย ข เป็นคนดีคนหนึ่ง มีนัดที่ไม่อยากไปถึงผิดเวลา จึงใช้ความเร็วประมาณ 115 ถึง 120 กม. ชม.
2563" ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ 3 กำหนดจำนวนค่าปรับเกี่ยวกับความผิดตาม พ.
ต่อชม.