ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประหยัดน้ำ 4. จัดกิจกรรม รณรงค์ เสริมสร้างความเข้าใจเพื่อให้บุคลากรมีจิตสำนึกในการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า รวมถึงการส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมในการลดการสูญเสียน้ำที่ไม่จำเป็น 5. ติดตามประเมินผลเพื่อทราบความก้าวหน้า และทิศทางการดำเนินงานของแผนงาน เปรียบเทียบกับเป้าหมายและกรอบเวลาของแผน ทราบผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงาน พัฒนามาตรการประหยัดน้ำ ให้เข้มข้นขึ้นหรือยืดหยุ่นลงตามความเหมาะสม รวมถึงการวิเคราะห์ข้อจำกัดเพื่อหาทางแก้ไขมาตรการนั้น หรือการยกเลิกในกรณีที่ไม่เหมาะสมหรือไม่คุ้มค่า ส่วนแนวทางปฏิบัติเพื่อลดปริมาณการใช้น้ำที่ครม. ให้ความเห็นชอบตามที่กนช. เสนอ ได้แก่ 1. สำรวจตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำอย่างง่าย เพื่อลดการสูญเสียน้ำอย่างเปล่าประโยชน์ 2. รณรงค์สร้างจิตสำนึกในการประหยัดน้ำ 3. ใช้สบู่เหลวแทนสบู่ก้อนเมื่อต้องการล้างมือ เพราะการใช้สบู่ก้อนล้างมือจะใช้เวลามากกว่าการใช้สบู่เหลว ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมากกว่า แต่การล้างมือด้้วยสบู่เหลวที่เข้มข้น ก็จะใช้น้ำมากกว่าการล้างมือด้วยสบู่เหลวที่ไม่เข้มข้น 4. ไม่ทิ้งน้ำดื่มที่เหลือในแก้วโดยไม่เกิดประโยชน์อันใด อาจนำไปใช้รดน้ำต้นไม้ ใช้ชำระพื้นผิวหรือใช้ชำระความสะอาดสิ่งต่างๆได้ เป็นต้น 5.
ควรใช้เหยือกน้ำกับแก้วเปล่าในการบริการน้ำดื่ม ให้ผู้ที่ต้องการดื่มรินน้ำดื่มเอง และควรดื่มให้หมดทุกครั้ง 6. ล้างจานในภาชนะที่ขังน้ำไว้ จะประหยัดน้ำได้มากกว่าวิีธีที่ปล่อยให้น้ำไหลจากก๊อกน้ำตลอดเวลา 7. การล้างรถยนต์ ไม่ควรใช้สายยางและเปิดน้ำให้ไหลตลอดเวลาขณะล้างรถ เพราะจะใช้น้ำมากถึง 400 ลิตร แต่ถ้าล้างด้วยน้ำและฟองน้ำในกระป๋อง หรือภาชนะบรรจุน้ำ จะลดการใช้น้ำได้มากถึง 300 ลิตร ต่อการล้างหนึ่งครั้ง และไม่ควรล้างรถบ่อยครั้งจนเกินไป เพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองน้ำแล้ว ยังทำให้เกิดสนิมตัวถังได้ด้วย 8. นำหลักการ 3R คือการลดใช้น้ำ(Reduce) การใช้ซ้ำ(Reuse) การนำกลับมาใช้ใหม่(Recycle) มาปรับใช้ตามความเหมาะสมกับหน่วยงาน และแนวทางการปฏิบัติเพื่อการประหยัดน้ำ ระยะยาว 1. รณรงค์ ส่งเสริม และปลูกฝังค่านิยมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและรู้คุณค่า รวมทั้งสร้างพฤติกรรมการประหยัดน้ำ 2. ออกแบบและติดตั้งระบบน้ำให้สามารถใช้ประโยชน์จากการเก็บและจ่ายน้ำตามแรงโน้มถ่วงของโลก เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานไปสูบและจ่ายน้ำภายในอาคาร 3. กรณีที่อุปกรณ์ชำรุด จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ ควรพิจารณาจัดหาอุปกรณ์ที่ประหยัดน้ำทดแทน เช่น ก๊อกประหยัดน้ำ หัวฉีดประหยัดน้ำ เป็นต้น 4.
A: ผ้าที่เหมาะสำหรับการเช็ดน้ำหลังจากล้างรถ คือ ผ้าชามัวร์ เพราะสามารถดูดซับน้ำได้มากในคราวเดียว แต่หากต้องการเช็ดเพื่อเก็บฝุ่น ควรใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์จะเหมาะกว่า Q: การเคลือบน้ำยาบนรถหรือต้องการเก็บงาน ควรใช้ผ้าชนิดไหน? A: ผ้าไมโครไฟเบอร์จะเหมาะกับงานนี้มากกว่าผ้าชามัวร์ Q: การล้างรถ หากไม่ใช้ฟองน้ำ ควรใช้ผ้าชนิดไหนแทนจึงจะไม่มีรอยขีดข่วนหรือขนแมว? A: ไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์หรือผ้าชามัวร์ แต่แนะนำให้ใช้ผ้าผืนเล็กๆ เนื้อนิ่มๆ แทน Q: ผ้าทั้ง 2 ชนิดนี้ หาซื้อได้ที่ไหน?
เมื่อเวลา 14. 05น. วันที่ 28 ก. ค. 2558 ที่ศูนย์แถลงข่าวตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม. )ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในที่ประชุมครม.
ระบบไฟต้องพร้อม เชื่อว่าด้วยความเคยชินของหลายๆคน ถึงรถปุ๊ปก็ขึ้นรถทันที ไม่ได้ตรวจเช็กอะไร ดังนั้น อย่างน้อยต้องตรวจเช็กระบบไฟรถยนต์รอบคัน อาทิ ไฟหน้า ทั้งไฟต่ำ ไฟสูง ไฟเลี้ยว ไฟเบรกท้าย ไฟตัดหมอกหน้า-หลัง ไฟถอยหลัง เพราะถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากถ้าเกิดว่าฝนตกหนักทัศนวิสัยไม่ดีอยู่แล้ว หากไฟส่องสว่างดวงใดดวงหนึ่งขาด อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุทั้งเบาและหนักได้ ซึ่งถ้าหลอดไหนขาดก็ควรรีบเปลี่ยนให้เรียบร้อยซะ ไม่ควรละเลย เตือนละนะ! 6. เคลือบสีหน่อยก็ดี จากสภาพอากาศในช่วงหน้าฝน ที่จะต้องเจอฝน น้ำโคลน คราบกรดต่างๆ และยังต้องเจอแดดจัดๆ ในบางวันอีกด้วย โอกาสที่สีรถของคุณจะเสื่อมสภาพ มีรอยคราบหินปูนของน้ำ ที่พอแห้งแล้วจะขัดออกได้ยาก หรือรอยด่าง รอยซีด บนตัวถังรถ ก็คงจะดูไม่สวยงามแน่ ลองหาโอกาสขัดเคลือบสีรถหน่อยก็ดี 7. อย่าลืมล้างรถทุกครั้งหลังลุยฝน หลังจากที่คุณขับรถลุยฝนกันมาอย่างเต็มที่แล้ว บรรดาคราบสิ่งสกปรก เศษดิน หิน ทราย โคลน คราบกรดต่างๆ ที่ปนเปื้อนมากับน้ำสกปรก เกิดราบฝังแน่นที่คอยทำลายสีรถ และตัวถังรถของคุณอย่างช้าๆ ซึ่งถ้าเป็นไปได้ ควรล้างรถทันทีหลังจากลุยฝนมา โดยฉีดน้ำสะอาดล้างก่อน อย่าใช้ผ้าลูบเลย เพราะอาจะทำให้เกิดรอยได้ แล้วค่อยใช้แชมพูล้าง หลังจากนั้นก็เช็ดรถให้แห้งสนิท สุดท้ายนี้ อย่าลืมขับขี่ในด้วยความเร็วที่เหมาะสม ไม่ขับเร็วจนเกินไป เพราะอาจจะลื่น รถเหินน้ำ หรือเบรกไม่ทันได้!